Skip to Content

ป. 91/2542 เรื่อง ความรับผิดเกี่ยวกับการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 3 เตรส มาตรา 50 มาตรา 69 ทวิ และการหักภาษี ตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร

ข้อ 1 ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ตาม มาตรา 3 เตรส มาตรา 50 และ มาตรา 69 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ต้องยื่นรายการตามแบบที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด และนำเงินภาษีที่ตนมีหน้าที่ต้องหักไปส่ง ณ ที่ว่าการอำเภอภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่จ่ายเงินได้พึงประเมิน ทั้งนี้ ไม่ว่าตนจะได้หักภาษีไว้แล้วหรือไม่ ตาม มาตรา 52 แห่งประมวลรัษฎากรผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายตามวรรคหนึ่ง ดังต่อไปนี้ มีสิทธิยื่นรายการตามแบบที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด และนำเงินภาษีที่ตนมีหน้าที่ต้องหักไปส่ง ณ ที่ว่าการ อำเภอภายในเจ็ดวันนับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่จ่ายเงินได้พึงประเมิน ตาม มาตรา 3 อัฏฐ วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎาก

คำสั่งกรมสรรพากร

ป. 91/2542

เรื่อง ความรับผิดเกี่ยวกับการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 3 เตรส มาตรา 50 มาตรา 69 ทวิ และการหักภาษี ตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร


เพื่อให้เจ้าพนักงานสรรพากรถือเป็นแนวทางปฏิบัติในการพิจารณากรณีความรับผิดเกี่ยวกับการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 3 เตรส มาตรา 50 มาตรา 69 ทวิ และการหักภาษี ตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร กรมสรรพากรจึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้

ข้อ 1 ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ตาม มาตรา 3 เตรส มาตรา 50 และ มาตรา 69 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ต้องยื่นรายการตามแบบที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด และนำเงินภาษีที่ตนมีหน้าที่ต้องหักไปส่ง ณ ที่ว่าการอำเภอภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่จ่ายเงินได้พึงประเมิน ทั้งนี้ ไม่ว่าตนจะได้หักภาษีไว้แล้วหรือไม่ ตาม มาตรา 52 แห่งประมวลรัษฎากร

ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายตามวรรคหนึ่ง ดังต่อไปนี้ มีสิทธิยื่นรายการตามแบบที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด และนำเงินภาษีที่ตนมีหน้าที่ต้องหักไปส่ง ณ ที่ว่าการ อำเภอภายในเจ็ดวันนับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่จ่ายเงินได้พึงประเมิน ตาม มาตรา 3 อัฏฐ วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร

(1) ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายที่ต้องหัก ตาม มาตรา 50(1) แห่งประมวลรัษฎากร

(2) ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายที่ต้องหัก ตาม มาตรา 50(2) แห่งประมวลรัษฎากร เฉพาะเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 40(4)(ก) และ (ช) แห่งประมวลรัษฎากร

(3) ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายที่ต้องหัก ตาม มาตรา 50(4) แห่งประมวลรัษฎากร

(4) ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายที่ต้องหัก ตาม มาตรา 69 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร

(5) ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายที่ต้องหัก ตาม มาตรา 3 เตรส แห่งประมวลรัษฎากร

กรณีผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ไม่ได้ยื่นรายการและนำส่งเงินภาษีหัก ณ ที่จ่าย ภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองพันบาท ตาม มาตรา 35 แห่งประมวลรัษฎากร

ข้อ 2 กรณีผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายตามข้อ 1 ไม่ได้หักภาษี ณ ที่จ่าย และไม่ได้นำเงินภาษีที่ตนมีหน้าที่ต้องหักไปส่ง ณ ที่ว่าการอำเภอภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดผู้มีหน้าที่หักภาษีซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินต้องรับผิดร่วมกับผู้มีเงินได้ในการเสียภาษีที่ต้องชำระตามจำนวนเงินภาษีที่ไม่ได้หักและไม่ได้นำส่ง ตาม มาตรา 54 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลรัษฎากรและต้องเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ต้องเสียหรือนำส่งโดยไม่รวมเบี้ยปรับ ตาม มาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร

ข้อ 3 กรณีผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายตามข้อ 1 ไม่ได้หักภาษี ณ ที่จ่าย แต่ ได้ออกเงินค่าภาษีแทนผู้มีเงินได้ โดยนำเงินภาษีที่ตนมีหน้าที่ต้องหักไปส่ง ณ ที่ว่าการอำเภอภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด แต่นำเงินส่งไว้ไม่ครบจำนวนที่ถูกต้อง ผู้มีหน้าที่หักภาษีซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินต้องรับผิดร่วมกับผู้มีเงินได้ในการเสียภาษีที่ต้องชำระตามจำนวนเงินภาษีที่ขาดไป ตาม มาตรา 54 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลรัษฎากร และต้องเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ต้องเสียหรือนำส่งโดยไม่รวมเบี้ยปรับ ตาม มาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร

ข้อ 4 กรณีผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายตามข้อ 1 ไม่ได้หักภาษี ณ ที่จ่าย แต่ได้ออกเงินค่าภาษีแทนผู้มีเงินได้ โดยนำเงินภาษีที่ตนมีหน้าที่ต้องหักไปส่ง ณ ที่ว่าการอำเภอภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด ไว้ครบจำนวนที่ถูกต้อง ผู้มีหน้าที่หักภาษีซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินและผู้มีเงินได้พ้นความรับผิดที่จะต้องชำระเงินภาษีเท่าจำนวนที่ผู้จ่ายเงินได้นำส่งไว้ครบจำนวนที่ถูกต้อง ตาม มาตรา 54 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร

ข้อ 5 กรณีผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายตามข้อ 1 ได้หักภาษี ณ ที่จ่าย และนำเงินภาษีที่ตนมีหน้าที่ต้องหักไปส่ง ณ ที่ว่าการอำเภอภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด ไว้ครบจำนวนที่ถูกต้อง ผู้มีหน้าที่หักภาษีซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินและผู้มีเงินได้พ้นความรับผิดที่จะต้องชำระเงินภาษีเท่าจำนวนที่ผู้จ่ายเงินได้นำส่งไว้ครบจำนวนที่ถูกต้อง ตาม มาตรา 54 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร

ข้อ 6 กรณีผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายตามข้อ 1 ได้หักภาษี ณ ที่จ่าย และนำเงินภาษีที่ตนมีหน้าที่ต้องหักไปส่ง ณ ที่ว่าการอำเภอภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด ไม่ครบจำนวนที่ถูกต้อง ผู้มีหน้าที่หักภาษีซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินต้องรับผิดร่วมกับผู้มีเงินได้ในการเสียภาษีที่ต้องชำระตามจำนวนเงินภาษีที่ขาดไป ตาม มาตรา 54 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลรัษฎากรและต้องเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ต้องเสียหรือนำส่ง โดยไม่รวมเบี้ยปรับ ตาม มาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร

ข้อ 7 กรณีผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายตามข้อ 1 ได้หักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ครบจำนวนที่ถูกต้อง แต่ได้นำเงินภาษีที่ตนมีหน้าที่ต้องหักไปส่ง ณ ที่ว่าการอำเภอภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด ไม่ครบจำนวนที่ถูกต้อง หรือไม่นำเงินภาษีที่ตนมีหน้าที่ต้องหักไปส่ง ณ ที่ว่าการอำเภอภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด ผู้มีเงินได้ซึ่งต้องเสียภาษีพ้นความรับผิดที่จะต้องชำระเงินภาษีเท่าจำนวนที่ผู้จ่ายเงินได้หักไว้แล้วนั้น และผู้มีหน้าที่หักภาษีซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินต้องรับผิดชำระเงินภาษีจำนวนนั้นแต่ฝ่ายเดียว ตาม มาตรา 54 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร และต้องเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ต้องเสียหรือนำส่งโดยไม่รวมเบี้ยปรับ ตาม มาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร

ข้อ 8 กรณีรัฐบาล หรือองค์การของรัฐบาลเป็นผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตาม มาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร ให้เป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานผู้จ่ายเงินที่จะตรวจสอบให้แน่ว่าจำนวนเงินภาษีที่จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ตาม มาตรา 50 แห่งประมวลรัษฎากรนั้น ได้คำนวณ และจดไว้ในฎีกาเบิกเงินแล้ว และให้เป็นหน้าที่ที่จะหักเงินจำนวนนั้นก่อนจ่าย ตาม มาตรา 53 แห่งประมวลรัษฎากร

กรณีจำนวนเงินภาษีที่จะต้องหัก ณ ที่จ่ายตามวรรคหนึ่ง ไม่ได้มีการตั้งฎีกาเบิกเงิน ให้เจ้าพนักงานผู้จ่ายเงินปฏิบัติตามข้อ 1 ถึงข้อ 7 โดยอนุโลม

ข้อ 9 การคำนวณเงินเพิ่มตามข้อ 2 ถึงข้อ 8 ให้เริ่มนับเมื่อพ้นกำหนดเวลาการยื่นรายการหรือนำส่งภาษีจนถึงวันที่ชำระหรือนำส่งภาษี แต่เงินเพิ่มที่คำนวณได้ไม่ให้เกินจำนวนภาษีที่ต้องเสียหรือนำส่ง ทั้งนี้ ไม่ว่าภาษีที่ต้องเสียหรือนำส่งนั้นจะเกิดจากการยื่นรายการหรือนำส่งภาษีเอง หรือจากการประเมินหรือคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมิน

ข้อ 10 กรณีผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายตามข้อ 1 ไม่ได้หักภาษี ณ ที่จ่ายและนำส่ง หรือได้หักภาษี ณ ที่จ่ายและนำส่งแล้ว แต่ไม่ครบจำนวนที่ถูกต้องตามข้อ 2 ถึงข้อ 8 แต่ผู้มีเงินได้ได้นำเงินได้พึงประเมินตามจำนวนที่ไม่ได้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย หรือตามจำนวนที่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ไม่ครบจำนวนที่ถูกต้อง ไปยื่นแบบแสดงรายการภาษีและชำระภาษีแล้ว ถือว่าผู้มีเงินได้ซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมของผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ได้ชำระหนี้ภาษีแล้ว ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินจึงหลุดพ้นจากหนี้ภาษี เฉพาะเงินภาษีที่ต้องชำระต่อกรมสรรพากร ตาม มาตรา 54 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร แต่ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายยังคงต้องรับผิดชำระเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ต้องเสียหรือนำส่งโดยไม่รวมเบี้ยปรับ ตาม มาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร

การคำนวณเงินเพิ่มตามวรรคหนึ่ง ให้เริ่มนับเมื่อพ้นกำหนดเวลาการยื่นรายการหรือนำส่งภาษี จนถึงวันที่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีและชำระภาษีครบจำนวนที่ถูกต้อง แต่เงินเพิ่มที่คำนวณได้ไม่ให้เกินจำนวนภาษีที่ต้องเสียหรือนำส่ง

ข้อ 11 กรณีผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ได้หักภาษี ณ ที่จ่าย และได้ออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายให้แก่ผู้มีเงินได้แล้ว แต่ไม่นำเงินส่งกรมสรรพากรหรือนำเงินส่งแล้วแต่ไม่ครบจำนวนที่ถูกต้อง ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินดังกล่าวจะต้องรับผิดแต่เพียงผู้เดียว สำหรับผู้มีเงินได้จะพ้นความรับผิดในจำนวนเงินภาษีเท่ากับจำนวนที่ถูกหักไว้ ตาม มาตรา 54 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร ผู้มีเงินได้จึงมีสิทธินำเงินที่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามจำนวนที่ระบุในหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย มาถือเป็นเครดิตในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคล ตาม มาตรา 3 เตรส มาตรา 60 และ มาตรา 69 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากรได้

กรณีให้ถือเป็นเครดิตในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลของผู้มีเงินได้ตามวรรคหนึ่ง ให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบให้ได้ข้อเท็จ จริงว่า ผู้มีเงินได้ได้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้จริง ทั้งนี้ ไม่ว่าผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินจะได้นำเงินส่งกรมสรรพากรหรือไม่ หรือนำเงินส่งแล้วแต่ไม่ครบจำนวนที่ถูกต้องก็ตาม

กรณีเจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบพบว่า ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินได้หักภาษี ณ ที่จ่ายไว้แล้ว แต่ไม่ได้นำเงินส่งกรมสรรพากรหรือนำเงินส่งแล้วแต่ไม่ครบจำนวนที่ถูกต้อง ให้เจ้าพนักงานประเมินดำเนินการทางแพ่งและทางอาญากับผู้จ่ายเงินดังกล่าวให้นำส่งเงินภาษีให้ครบจำนวนที่ถูกต้องต่อไป

ข้อ 12 กรณีผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายตามข้อ 1 ไม่ได้หักภาษี ณ ที่จ่ายและนำส่ง หรือได้หักภาษี ณ ที่จ่ายและนำส่งแล้ว แต่ไม่ครบจำนวนที่ถูกต้องตามข้อ 2 ถึงข้อ 8 เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินเรียกเก็บภาษีดังกล่าวจากผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินก่อน แต่ถ้าเรียกเก็บภาษีจากผู้จ่ายเงินไม่ได้หรือไม่ครบจำนวนที่ถูกต้อง เจ้าพนักงานประเมินก็มีอำนาจประเมินภาษีผู้มีหน้าที่เสียภาษี ตาม มาตรา 18 แห่งประมวลรัษฎากร หรือออกหมายเรียกผู้มีหน้าที่เสียภาษีตาม มาตรา 19 หรือ มาตรา 23 แห่งประมวลรัษฎากร แล้วแต่กรณี เพื่อประเมินภาษี เบี้ยปรับ และเงินเพิ่ม ตาม มาตรา 22 มาตรา 26 และ มาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร ให้ครบจำนวนที่ถูกต้องต่อไป

การคำนวณเงินเพิ่มตามวรรคหนึ่ง ให้เริ่มนับเมื่อพ้นกำหนดเวลาการยื่นรายการหรือนำส่งภาษี จนถึงวันที่ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายนำส่งภาษีครบจำนวนที่ถูกต้อง หรือวันที่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีชำระภาษีครบจำนวนที่ถูกต้อง แล้วแต่กรณี แต่เงินเพิ่มที่คำนวณได้ไม่ให้เกินจำนวนภาษีที่ต้องเสียหรือนำส่ง

ข้อ 13 กรณีผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายตามข้อ 1 ได้หักภาษี ณ ที่จ่ายจากการขายอสังหาริมทรัพย์ ตาม มาตรา 50(5) และ มาตรา 50(6) แห่งประมวลรัษฎากร ให้ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย นำส่งเงินภาษีต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในขณะที่มีการจดทะเบียนและห้ามพนักงานเจ้าหน้าที่ลงนามรับรู้ ยอมให้ทำ หรือบันทึกจนกว่าจะได้รับเงินภาษีที่นำส่งไว้ครบจำนวนที่ถูกต้องแล้ว ตาม มาตรา 52 วรรคสอง แห่งประมวล รัษฎากร

กรณีการหักภาษี ณ ที่จ่ายตามวรรคหนึ่ง ไม่มีการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ให้ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ปฏิบัติตามข้อ 1 ถึงข้อ 8 โดยอนุโลม

ให้นำหลักเกณฑ์และวิธีการ การหักภาษี ณ ที่จ่าย และการนำส่งเงินภาษีตามวรรคหนึ่ง และวรรคสอง มาใช้บังคับกับผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ตาม มาตรา 69 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร โดยอนุโลม

ข้อ 14 ให้นำหลักเกณฑ์และวิธีการ การหักภาษี ณ ที่จ่าย และการนำส่งเงินภาษีตามข้อ 1 ถึงข้อ 9 มาใช้บังคับในกรณีผู้จ่ายเงินซึ่งมีหน้าที่หักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายและนำส่งเงินภาษี ซึ่งต้องยื่นรายการตามแบบที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดภายในเจ็ดวันนับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่จ่ายเงินได้พึงประเมิน ตาม มาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร

ข้อ 15 บรรดาระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่ง หนังสือตอบข้อหารือ หรือคำวินิจฉัยใดที่ขัดหรือแย้งกับคำสั่งนี้ ให้เป็นอันยกเลิก


สั่ง ณ วันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2542

ร้อยเอกสุชาติ เชาว์วิศิษฐ

อธิบดีกรมสรรพากร

Get notified when new articles are added to the knowledge base.

Powered by PHPKB (Knowledge Base Software)